รถขับน้อยก็พังได้ 10 เทคนิคดูแลรถสำหรับสายจอด

รวมเทคนิคดูแลรถ สำหรับคนที่มีรถแต่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ซึ่งรถที่จอดนิ่งเป็นเวลานานก่อให้เกิดปัญหาหลายอย่างจนถึงขั้นอาจทำให้รถพังได้ แต่ถ้ามีการดูแลที่เหมาะสม ก็จะทำให้รถยนต์พร้อมใช้งานในเวลาที่ต้องการใช้อยู่เสมอ

ปัญหาที่พบบ่อยของรถสายจอด

รถที่จอดนิ่งนาน ๆ มักเจอปัญหาหลายอย่าง เช่น แบตเตอรี่คายประจุจนหมดทำให้สตาร์ทไม่ติด ยางอาจเสียรูปจากน้ำหนักที่กดทับเป็นเวลานาน แรงดันลมยางลดลง ระบบเบรกเกิดสนิมจนติดขัด น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพจากการสะสมของตะกอนและความชื้น อาจมีเชื้อราและกลิ่นอับในห้องโดยสาร และยังเสี่ยงต่อสัตว์รบกวน เช่น หนูที่อาจเข้าไปกัดสายไฟหรือทำรังในห้องเครื่อง ดังนั้นการดูแลจึงเป็นสิ่งสำคัญ

10 วิธีดูแลรถสายจอดให้พร้อมใช้งาน

1. สตาร์ทรถและขับขี่เป็นระยะ

    ควรสตาร์ทรถอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และเปิดเครื่องทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที เพื่อให้แบตเตอรี่ได้รับการชาร์จจากไดชาร์จ และช่วยให้น้ำมันเครื่องไหลเวียนไปทั่วระบบ นอกจากนี้ ควรขับรถสั้น ๆ อย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อให้ระบบเบรก ยาง และของเหลวต่าง ๆ ได้รับการกระตุ้นการทำงาน ป้องกันการเสื่อมสภาพ ลดความเสี่ยงของเบรกติดขัด หรือยางเสียรูปจากการจอดนิ่งนาน ๆ การขับขี่เล็กน้อยช่วยให้เครื่องยนต์และชิ้นส่วนสำคัญได้รับการหล่อลื่น ลดการเกิดสนิม เครื่องยนต์ได้เผาไหม้น้ำมันเก่าที่ค้างอยู่ในระบบ และป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรกที่อาจเกิดขึ้นจากการไม่ได้ใช้งานนาน

    2. ตรวจสอบและดูแลแบตเตอรี่

      การดูแลแบตเตอรี่เป็นสิ่งสำคัญ หากรู้ว่าต้องจอดรถนาน ควรถอดขั้วแบตเตอรี่ออกเพื่อลดการคายประจุ หรือใช้เครื่องชาร์จแบตเตอรี่แบบพกพา (Battery Maintainer) เพื่อช่วยรักษาระดับพลังงานของแบตเตอรี่ให้พร้อมใช้อยู่เสมอ นอกจากนี้ การทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่เป็นประจำยังช่วยลดการเกิดคราบขี้เกลือ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของปัญหาการนำไฟฟ้าที่ไม่ดี และส่งผลให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดยาก หากปล่อยให้แบตเตอรี่หมดประจุเป็นเวลานาน อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ และต้องเปลี่ยนใหม่ก่อนเวลาอันควร

      3. ดูแลยางให้พร้อมใช้งาน

        ควรเติมลมยางให้สูงกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อลดโอกาสที่ยางจะแบนหรือเสียรูปจากแรงกดทับ หากเป็นไปได้ควรขยับรถไปมาบ้าง หรือหากต้องจอดนานเป็นเดือนอาจใช้แท่นรองรับตัวถังรถ (Jack Stand) เพื่อช่วยลดแรงกดบนยาง และป้องกันการเสียรูปของโครงสร้างยาง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาการขับขี่ที่ไม่สมดุลเมื่อนำรถกลับมาใช้งาน การตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากยางอ่อนเกินไปอาจทำให้เกิดรอยแบนถาวรบนเนื้อยาง ซึ่งส่งผลต่อสมรรถนะและความปลอดภัยขณะขับขี่

        4. เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา

          แม้ว่าจะไม่ได้ใช้งานบ่อย ๆ ก็ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 6 เดือน หรือปีละครั้ง เพราะน้ำมันเครื่องสามารถเสื่อมสภาพได้จากการสะสมของตะกอนและความชื้นแม้รถจะไม่ได้ถูกใช้ก็ตาม การสตาร์ทรถเป็นระยะช่วยให้น้ำมันเครื่องไหลเวียน ลดการสะสมของสิ่งสกปรก และป้องกันปัญหาการเสื่อมคุณภาพของสารหล่อลื่นภายในเครื่องยนต์ ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมกับประเภทของรถและสภาพอากาศ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น

          5. ตรวจสอบระบบเบรก

            ระบบเบรกของรถที่จอดนานอาจเกิดสนิมและติดขัด ควรขยับรถไปมา และเหยียบเบรกเป็นระยะเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว หากจอดในที่อับชื้น แนะนำให้ขับรถสั้น ๆ บ่อยขึ้นเพื่อช่วยให้ความชื้นถูกขจัดออกจากจานเบรก นอกจากนี้การตรวจสอบระดับน้ำมันเบรกให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หากเบรกมีเสียงผิดปกติหรือให้สัมผัสที่แข็งกว่าปกติ ควรนำรถเข้าตรวจเช็กที่ศูนย์บริการเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น

            6. ป้องกันความชื้นสะสมในรถ

              ภายในห้องโดยสารอาจเกิดปัญหาความชื้นและกลิ่นอับ หากต้องจอดรถนานควรเปิดแอร์สัปดาห์ละครั้งเพื่อลดการสะสมของเชื้อราและกลิ่นอับที่อาจเกิดขึ้นในระยะปรับอากาศ หากจอดในที่อับชื้นควรเปิดกระจกระบายอากาศเป็นครั้งคราว หรือใช้ซิลิก้าเจล หรือถ่านไม้ไผ่ดูดความชื้นภายในรถเพื่อช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ นอกจากนี้ ควรหมั่นทำความสะอาดภายในรถเป็นประจำ โดยเฉพาะบริเวณพรมและเบาะที่อาจเป็นจุดสะสมของฝุ่นและเชื้อโรค

              7. ป้องกันสัตว์รบกวน

                ตรวจเช็คภายในห้องเครื่องเป็นประจำ เพราะหนูหรือแมลงสาบอาจเข้าไปทำรังและกัดสายไฟทำให้ระบบไฟฟ้าเสียหาย ใช้สเปรย์กันหนู หรือวางลูกเหม็นและใบกระเพราแห้งในห้องเครื่องเพื่อป้องกันสัตว์รบกวน นอกจากนี้ ควรทำความสะอาดบริเวณรอบ ๆ ที่จอดรถให้ปราศจากเศษหรือขยะที่อาจดึงดูดสัตว์เข้ามาใกล้

                8. จอดรถในที่เหมาะสม

                  หากเป็นไปได้ควรจอดในโรงรถ หรือใช้ผ้าคลุมรถที่มีคุณภาพสูงเพื่อป้องกันฝุ่น แสงแดด และฝน ไม่ควรจอดรถในที่ที่มีความชื้นสูง เพราะอาจทำให้เกิดสนิมและส่งผลต่อระบบไฟฟ้า นอกจากนี้ ควรตรวจสอบพื้นที่จอดเพื่อหลีกเลี่ยงการจอดบนพื้นดินหรือพื้นหญ้าซึ่งอาจก่อให้เกิดความชื้นสะสมใต้ท้องรถ

                  9. เติมน้ำมันให้เต็มถัง

                    เมื่อต้องจอดรถนานเป็นสัปดาห์ การเติมน้ำมันเต็มถังช่วยลดการเกิดไอน้ำในถังน้ำมัน และป้องกันการสะสมของตะกอนที่อาจส่งผลเสียต่อระบบเชื้อเพลิง ควรตรวจสอบระดับของเหลวต่าง ๆ ในรถ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ และน้ำหล่อเย็นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หากพบว่ามีการลดระดับผิดปกติควรตรวจสอบว่ามีการรั่วซึมหรือไม่ 

                    10. ตรวจเช็คของเหลวในรถ

                      หมั่นตรวจสอบระดับของเหลวสำคัญ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ และน้ำหล่อเย็น หากพบว่ามีการลดระดับผิดปกติ ควรตรวจสอบระบบรั่วซึม และเติมให้เหมาะสม ควรตรวจสอบน้ำหล่อเย็นให้อยู่ในระดับที่พอดีเพื่อป้องกันความร้อนสูงเกินไปเมื่อใช้งานในภายหลัง

                      แม้รถยนต์จะไม่ได้ถูกใช้งานทุกวัน แต่การดูแลรถยนต์ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น การตรวจสอบระบบต่าง ๆ จะช่วยให้รถของคุณพร้อมใช้งานเสมอ และช่วยยืดอายุการใช้งานรถให้ยาวนานขึ้น รวมไปถึงจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม และลดความเสี่ยงจากปัญหาจุกจิกที่อาจเกิดขึ้นด้วย

                      ที่มา

                      1. aprtech
                      2. cockpit

                      Tags : 

                      บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน)

                      999/1 เดอะไนน์ทาวเวอร์ ถนนพระราม 9
                      แขวงพัฒนาการ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร 10250

                      1519

                       

                      www.thanachartinsurance.co.th