5 จุดเช็คเครื่องยนต์ ที่คนขับควรรู้

ถ้าคุณเป็นคนรักความเร็ว สิ่งหนึ่งที่คุณต้องรักมากกว่าคือ “ความปลอดภัย” เพราะความเร็วที่พุ่งขึ้นเล็กน้อยจากการขับรถอาจเกิดการชนแบบทวีคูณ นี่คือเหตุผลว่าทำไม รถต้องพร้อมก่อนที่จะขับออกไปบนท้องถนนทุกครั้ง มาดู 5 จุดสำคัญแบบเน้นสิ่งที่จำเป็นต่อการขับเร็วอย่างมีสติกัน

เครื่องยนต์ : หัวใจของสมรรถะต้อง “พร้อมใช้งาน”

สิ่งแรกที่ควรสังเกตคือ "แรงม้าและแรงบิด" ถึงแม้คนขับรถทั่วไปจะไม่สามารถทดสอบได้ละเอียดเหมือนในสนามแข่ง แต่สามารถสังเกตได้จากอาการของรถ หากรู้สึกว่าอัตราเร่งช้าลง รถไม่ดีเหมือนเดิมเมื่อกดคันเร่ง หรือมีเสียงเครื่องที่ผิดปกติ ควรนำเข้าตรวจเช็กที่ศูนย์บริการ

"เสียงและอุณหภูมิ" ก็เป็นตัวบอกสุขภาพเครื่องยนต์ได้ดี หากมีเสียงเคาะ เสียงดังผิดปกติ หรือเครื่องยนต์ร้อนเกินไปจนไฟเตือนขึ้น ถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย การปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานที่อุณหภูมิสูงตลอดเวลาอาจทำให้เกิดความเสียหายรุนแรง เช่น ฝาสูบโก่งหรือชิ้นส่วนภายในสึกหรอเร็วกว่าปกติ

อีกเรื่องที่สำคัญคือ "ระบบน้ำมันเครื่องและการหล่อลื่น" น้ำมันเครื่องที่เสื่อมสภาพจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้นและสึกหรอเร็วขึ้น ดังนั้นควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะที่คู่มือรถแนะนำ หรือเร็วกว่านั้นหากมีการใช้งานหนักเป็นประจำ

ระบบเบรก : หยุดให้มั่นใจ วิ่งเร็วแค่ไหนก็ต้องหยุดได้

สิ่งแรกที่ควรตรวจเช็คคือ ผ้าเบรก หากผ้าเบรกหมดหรือใกล้หมดจะทำให้ประสิทธิภาพในการหยุดรถลดลง และหากปล่อยไว้นานเกินไปจนผ้าเบรกสึกถึงแผ่นเหล็กจะทำให้จานเบรกเสียหาย และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูงขึ้น

นอกจากนี้ การทดสอบระยะเบรกเมื่อใช้ความเร็วสูง ก็มีความสำคัญมาก หากระยะหยุดยาวกว่าปกติ หรือรู้สึกว่าเบรก “ลื่น” ไม่มั่นใจควรเข้าตรวจเช็คทันที หลายคนเชื่อว่ารถที่มีระบบเบรกแบบ ABS (Anit-lock Braking system)  จะทำให้ระยะเบรกสั้นลงเสมอ ความจริงแล้วเป้าหมายหลักของ ABS คือป้องกันล้อล็อคเพื่อคงการควบคุมทิศทางระหว่างเบรกกะทันหัน โดยเฉพาะบนพื้นลื่นช่วยให้คุณเลี้ยวหลบและยังคุมรถได้ ระยะเบรกจริงจะสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับพื้นผิวและยางที่ใช้ แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ABS จะเพิ่มโอกาสรอดและลดความรุนแรงของอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดี

ช่วงล่างและระบบกันสะเทือน : ทำให้รถนิ่งและเกาะถนน

ช่วงล่างที่สมบูรณ์ทำให้รถ “นิ่งและคม” เวลาความเร็วสูงและหรือเข้าโค้ง การที่รถสามารถเกาะถนนได้ดีจะช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ โช้คอัพและสตรัตที่สึกจะให้ความรู้สึกที่ยวบยาบ กระเด้งหลายจังหวะ เบรกจมหน้ามาก หรือสะท้านจนยางสัมผัสถนนไม่เต็ม ทำให้ระยะเบรกยาวและวงเลี้ยวกว้างขึ้น สัญญาณเตือนที่พบได้คือเสียงดังปึงปังหรือเอี๊ยดจากใต้ท้องรถ การโคลงตัวผิดปกติ ความสูงซ้าย-ขวาไม่เท่ากัน รวมถึงยางสึกเป็นลายผิดรูปแบบ ซึ่งมักโยงกับสปริงหักหรือลูกหมากหลวม การขับต่อทั้งที่ช่วงล่างเสียจะยิ่งเร่งให้ยางสึกผิดปกติและทำให้การควบคุมด้อยลงชัดเจน โดยเฉพาะบนโค้งความเร็วสูงที่ต้องการแรงกดของยางสม่ำเสมอ

การตั้งศูนย์และถ่วงล้อเป็นงานละเอียดที่หลายคนผลัดวันแต่ส่งผลใหญ่ ถ้าศูนย์เพี้ยนรถจะกินยางทางใดทางหนึ่ง เกิดอาการดึงพวงมาลัยส่งผลชัดเจนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลนขณะรถใช้ความเร็งสูง การตรวจและตั้งศูนย์ถ่วงล้อตามระยะ พร้อมหมุนสลับยางตามคู่มือหรือทุก 8,000 – 10,000 กม. จะช่วยให้รถขับเร็วได้อย่างนิ่งและทำนายอาการได้ง่าย

ล้อและยาง : ตัวช่วยควบคุมรถให้เกาะถนน

ล้อและยางคือส่วนเดียวที่สัมผัสกับพื้นถนน ควรตรวจสอบสภาพหน้ายางว่ายังมีดอกยางเพียงพอหรือไม่ หากดอกยางตื้นกว่าที่กฎหมายกำหนดจะทำให้ยางรีดน้ำได้ไม่ดี และเสี่ยงต่อการเกิดอาการเหินน้ำ (Hydroplaning) นอกจากนี้แรงดันลมยางก็ควรเช็คสม่ำเสมอ หากยางอ่อนเกินไปจะทำให้กินน้ำมันและควบคุมยาก แต่หากแข็งเกินไปก็เสี่ยงที่ยางจะแตกเมื่อเจอแรงดันสูง

การเลือกยากที่เหมาะสมกับการขับเร็วก็เป็นอีกเรื่องที่ควรใส่ใจ ยางที่ออกแบบมาสำหรับความเร็งสูงมักจะมีค่า Speed Rating ที่สูงกว่าซึ่งจะช่วยให้มั่นใจว่ายางสามารถรองรับการใช้งานในความเร็วสูงได้จริง บนแก้มยางระบุความเร็วสูงสุดที่ยางสามารถรับได้ภายใต้โหลดที่กำหนดตามมาตรฐานสากล การขับเกินขีดจำกัด Speed Rating หรือแบกน้ำหนักเกิน load index จะเพิ่มความเสี่ยงยางบวม แตก หรือระเบิด

แรงดันลมยางเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ เพราะไม่เพียงทำให้บังคับเลี้ยวและเบรกด้อยลงแต่ยังเพิ่มโอกาสเกิด Blowout และกินน้ำมันมากขึ้น หน่วยงานความปลอดภัยทางถนนอย่าง NHTSA มีทั้งงานวิจัยและข้อกำหนดระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง (TPMS) เพราะแค่ความต่างไม่กี่ psi ก็ทำให้การควบคุมและระยะเบรกเปลี่ยนไปชัดเจน การรักษาแรงดันให้ถูกต้องจึงเป็นทั้งประโยชน์ในด้านความปลอดภัย ประหยัด และรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ระบบบังคับเลี้ยว : ช่วยคุมทิศทางให้แม่นย่ำ

ความแม่นยำของพวงมาลัยและระยะฟรีที่พอดี คือศูนย์กลางของความมั่นใจในการขับเร็ว ระยะฟรีมากไปทำให้คำสั่งเลี้ยวดีเลย์ รถตอบสนองไม่สัมพันธ์มือ เพิ่มความเสี่ยงเมื่อต้องการหลบสิ่งกีดขวางกระทันหัน หรือเข้า-ออกโค้งเร็ว ๆ หากพบเสียงเคาะ หลวม มีอาการส่าย หรือพวงมาลัยฟรีเกินไป ควรให้ช่างตรวจวินิฉันและตั้งศูนย์ให้ตรงสเปกทันที

ในคู่มือการตรวจสภาพรถหลายเล่มมักมีการทดสอบระบบบังคับเลี้ยวบนถนนเพื่อตรวจประสิทธิภาพความตรงของพวงมาลัยที่ความเร็วต่ำ เช่น 20 ไมล์ต่อชั่วโมง พร้อมระยะหยุดและเสถียรภาพที่คาดหวัง ผลการทดสอบพื้นฐานเหล่านี้ช่วยชี้ว่าระบบบังคับเลี้ยวและเบรกยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ก่อนจะเพิ่มภาระให้รถด้วยความเร็วสูงบนถนนจริง

ที่มา

  1. https://www.cockpit.co.th/
  2. https://ysracingshop.com/blog/read/189
  3. https://racingclub.in.th/

บทความที่เกี่ยวข้อง

บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน)

999/1 เดอะไนน์ทาวเวอร์ ถนนพระราม 9
แขวงพัฒนาการ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร 10250

1519

 

www.thanachartinsurance.co.th