ในฐานะบริษัทประกันภัยรถยนต์ชั้นนำ ธนชาตประกันภัยมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยให้ความสำคัญกับ มิติทางสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของกลยุทธ์ของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนขององค์กรโดยได้วางแนวทางและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามกรอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals - SDGs) โดยเฉพาะใน 6 มิติสำคัญที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของการพัฒนาองค์กรและสังคมอย่างยั่งยืน ได้แก่
การดำเนินงานในแต่ละมิติสะท้อนถึงความรับผิดชอบของบริษัทฯ ต่อสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน และเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสร้างความยั่งยืนทั้งในระดับองค์กรและสังคมโดยรวม
ธนชาตประกันภัยตระหนักถึง ปัญหาอุบัติเหตุทางถนน และมีบทบาทสำคัญในฐานะเครือข่ายเฝ้าระวังและป้องกันอุบัติเหตุ โดยเข้าร่วมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลภายใต้ แผนทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน และ แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุในแต่ละช่วงเวลาสำคัญ โดยเฉพาะเทศกาลที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ปีใหม่ 2567 ที่พบว่าถนนกรมทางหลวงเกิดอุบัติเหตุสูงสุด 42.5% รองลงมาคือถนนใน อบต./หมู่บ้าน 30.5% ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดใน จุดตัด ทางโค้ง และทางแยก บริษัทฯ จึงสนับสนุนแนวทาง เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังจุดเสี่ยง และให้ท้องถิ่นเป็นเจ้าภาพหลักในการบริหารจัดการความปลอดภัยบนถนน
จากประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจประกันภัยรถยนต์กว่า 26 ปี บริษัทฯ พบว่ายังมีอัตราการเคลมอุบัติเหตุสูงถึง 8,000 เคส/เดือน หรือเฉลี่ย 270 เคส/วัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเดินทางระยะสั้นในเขตเมืองและชุมชนยังคงถูกมองข้ามเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะพฤติกรรมเสี่ยงจากความเคยชินและความประมาท ขณะเดียวกัน โครงสร้างพื้นฐานทางถนนในหลายพื้นที่ยังไม่ได้มาตรฐานเพียงพอ ที่จะช่วยลดอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากข้อมูลเหล่านี้ บริษัทฯ ได้นำมาพิจารณาแนวทางเพื่อลด ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับครอบครัวจนถึงระดับประเทศ โดยนอกจากการใช้มาตรการทางวิศวกรรมจราจรแล้ว การให้ชุมชนมีบทบาทเป็นเจ้าของแนวทางลดอุบัติเหตุในพื้นที่ของตนเอง ถือเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยอย่างยั่งยืน บริษัทฯ จึงดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมภายใต้แนวคิด “Yes, We Safe” ซึ่งมุ่งจัดโครงการที่สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจและทำงานร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและประชาชน เพื่อ ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน
โครงการ "พลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย" มีเป้าหมายเพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินรวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจในระดับครอบครัว ชุมชน และระดับมหภาค โดยใช้ 4 กลยุทธ์หลัก ดังนี้
โดยมีรูปแบบและขั้นตอนการดำเนินโครงการร่วมมือกับภาคีเครือข่าย หน่วยงานภาครัฐและองค์กรพันธมิตรร่วมกันขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนนผ่านการประกวดแผนลดจุดเสี่ยง เพื่อถนนปลอดภัยในชุมชน โดยทีมงานต้องมีอย่างน้อย 4 คนจากหลากหลายภาคส่วนในพื้นที่ ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาด้านกายภาพและพฤติกรรมทางสังคม พร้อมวางแนวทางการแก้ไขจุดเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
โครงการ “พลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย” ได้ดำเนินการต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี เพื่อ ยกระดับชุมชน 30 แห่งทั่วประเทศ ให้มีถนนที่ปลอดภัยขึ้น ทั้งด้านโครงสร้างกายภาพและพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้ถนน
ปีที่ 1: (10 ชุมชน ใน 8 จังหวัด) ดำเนินการแก้ไขจุดเสี่ยงใน 10 ชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่:
ปีที่ 2: (10 ชุมชน ใน 10 จังหวัด) ขยายผลการดำเนินงานใน 10 ชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่:
ปีที่ 3: (10 ชุมชน ใน 10 จังหวัด) ดำเนินโครงการต่อเนื่องใน 10 ชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่:
รายละเอียดการพัฒนาสู่ความปลอดภัยอย่างยั่งยืนของแต่ล่ะชุมชนสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.พลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย.com จากการสำรวจและเก็บข้อมูลของ มูลนิธิไทยโรดส์ ซึ่งได้ทำการประเมินผลก่อนและหลังการปรับปรุงจุดเสี่ยงบนถนนในชุมชน พบว่า มาตรการปรับปรุงทางกายภาพ โดยเฉพาะการติดตั้งป้ายเตือนและป้ายจำกัดความเร็ว ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อ พฤติกรรมการใช้ความเร็วของผู้ขับขี่ การสำรวจนี้ดำเนินการใน 4 พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ อบต.ป่าก่อดำ จ.เชียงราย, เทศบาลตำบลสุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด, อบต.รอบเมือง จ.ชัยภูมิ และ อบต.บ้านพราน จ.อ่างทอง ซึ่งเป็นจุดที่มีความเสี่ยงสูงและต้องการมาตรการจัดการเพื่อลดอุบัติเหตุ
ผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้ความเร็ว ก่อนและหลังการปรับปรุงทางกายภาพ
ช่วงความเร็ว (กม./ชม.) | ก่อนปรับปรุง (%) | หลังปรับปรุง (%) | การเปลี่ยนแปลง (%) |
≤ 30 (ความเร็วปลอดภัยในเขตชุมชน) | 10% | 25% | +15% |
31 - 60 (ยังคงมีความเสี่ยง) | 82% | 70% | -12% |
> 60 (เสี่ยงต่ออุบัติเหตุร้ายแรง) | 8% | 5% | -3% |
สรุป: ผลสำรวจจาก รถยนต์ 460 คัน ที่วิ่งผ่านพื้นที่ปรับปรุง แสดงให้เห็นว่า การติดตั้งป้ายเตือนและป้ายจำกัดความเร็วช่วยลดการใช้ความเร็วเกินกำหนดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้ขับขี่ที่ใช้ความเร็วในระดับปลอดภัย เพิ่มขึ้น 15% ขณะที่กลุ่มที่ใช้ความเร็วเกินกำหนดมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นว่า การปรับปรุงทางกายภาพบนถนนในเขตชุมชนสามารถส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมการขับขี่ การติดตั้งป้ายเตือนและป้ายจำกัดความเร็วช่วยสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้ผู้ขับขี่ ลดความเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่ออุบัติเหตุ การลดลงของอัตราความเร็วบนท้องถนน ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขเชิงสถิติ แต่เป็นสัญญาณของความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ และช่วยให้ชุมชนมีถนนที่ปลอดภัยขึ้นอย่างแท้จริง
ผลการสำรวจนี้ยืนยันว่า มาตรการที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ดีขึ้นได้ และเป็นก้าวสำคัญของโครงการพลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย ที่มุ่งหวังให้ถนนในเขตชุมชนไม่เป็นเพียงเส้นทางสัญจร แต่เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย ลดการสูญเสีย และสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น
ด้วย กลไกการบริหารจัดการที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ควบคู่กับแนวทางการป้องกันและแก้ไขจุดเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนที่ครอบคลุมและมุ่งเน้น สร้างความปลอดภัยอย่างยั่งยืน สำหรับคนในชุมชนและผู้ใช้รถใช้ถนน โครงการ “พลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย” จึงได้รับ รางวัล Prime Minister Road Safety Award ในประเภท หน่วยงานภาคเอกชน ซึ่งจัดโดย ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ในงาน สัมมนาวิชาการระดับชาติเรื่องความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 15
ความสำเร็จนี้ยังคงดำเนินต่อไป โดยในปี พ.ศ. 2567 บริษัทฯ ได้รับรางวัลดังกล่าว ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และมีกำหนดเข้ารับรางวัลอย่างเป็นทางการในเดือน พฤศจิกายน 2567 รางวัลนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันถึง ความมุ่งมั่นในการสร้างถนนที่ปลอดภัยและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเดินหน้าส่งเสริมความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อให้ความปลอดภัยทางถนนเป็นมาตรฐานที่ยั่งยืนต่อไป
ความสำเร็จนี้ยังคงดำเนินต่อไป โดยในปี พ.ศ. 2567 บริษัทฯ ได้รับรางวัลดังกล่าว ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และมีกำหนดเข้ารับรางวัลอย่างเป็นทางการในเดือน พฤศจิกายน 2567 รางวัลนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันถึง ความมุ่งมั่นในการสร้างถนนที่ปลอดภัยและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเดินหน้าส่งเสริมความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อให้ความปลอดภัยทางถนนเป็นมาตรฐานที่ยั่งยืนต่อไป
บริษัทฯ มุ่งมั่นในการให้ความรู้ด้าน ความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ผ่าน การผลิตและนำเสนอข้อมูล ข่าวสาร พร้อมภาพประกอบ ที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยและประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ โดยเนื้อหาครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น
ข้อมูลเหล่านี้ถูกเผยแพร่ผ่าน เฟซบุ๊กธนชาตประกันภัย และช่องทางออนไลน์อื่นๆ เพื่อเป็นศูนย์กลาง การเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความเข้าใจ และส่งเสริมให้ประชาชนมี ความรู้เท่าทันและสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเน้น การรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึง การแจ้งเตือนภัยที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ โดยใช้ แพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร เนื่องจากสามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้การเผยแพร่ความรู้ด้านความปลอดภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ เครือข่ายขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนน – อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของธนชาตประกันภัยในการผลักดันและพัฒนาสังคมสู่ความยั่งยืน
ธนชาตประกันภัยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการ ผลักดันและสร้างสังคมที่ปลอดภัยบนท้องถนน ผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมและการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยทางถนน โดยมีบทบาทสำคัญในหลายเวที ดังนี้
การมีส่วนร่วมของธนชาตประกันภัยในโครงการและเวทีระดับชาติเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่น ในการสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน ผ่านความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและพฤติกรรมที่นำไปสู่การลดอุบัติเหตุและการสูญเสียบนท้องถนน
เสริมสร้างบุคลากรเพื่อช่วยเหลือผู้พิการ – อีกหนึ่งบทบาทของธนชาตประกันภัยในการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับ การสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทาง โดยมอบ ทุนการศึกษาให้กับนักศึกษาระดับปริญญาตรี โรงเรียนกายอุปกรณ์สิรินธร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 4 ทุน ทุนละ 25,000 บาท รวมมูลค่า 100,000 บาท
โรงเรียนกายอุปกรณ์สิรินธรเป็น สถาบันการศึกษาด้านกายอุปกรณ์เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ผลิตนักกายอุปกรณ์คุณภาพสูง เพื่อช่วยให้ผู้พิการสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน บุคลากรในสาขานี้ยังมีจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนผู้พิการทั่วประเทศที่มีมากกว่า 400,000 คน
การสนับสนุนทุนการศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของ ความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือผู้พิการและส่งเสริมการฟื้นฟูสมรรถภาพ ผ่านการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย เช่น แขนเทียมและขาเทียมที่มีคุณภาพและเพียงพอ เพื่อให้ผู้พิการสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ สอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทฯ ในการเป็น ผู้ให้บริการด้านประกันภัยที่มุ่งคุ้มครองและดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยง โดยเฉพาะ อุบัติเหตุที่นำไปสู่การสูญเสียอวัยวะและทรัพย์สิน
การสนับสนุนครั้งนี้ไม่เพียงช่วยพัฒนานักกายอุปกรณ์ให้มีศักยภาพในการดูแลและช่วยเหลือผู้พิการ แต่ยังเป็นการส่งเสริม ระบบสนับสนุนทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อคืนชีวิตและความหวังให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุและความพิการทางร่างกาย