นำเสนอแนวคิด "การต่อสู้ระหว่าง “ความดี” และ “ความชั่ว" โดยถ่ายทอดผ่านเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติ ตอน มารผจญ เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ บำเพ็ญเพียรจนถึงจุดสุดท้ายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีแห่งการตรัสรู้
พญามาร ชื่อ ท้าววสวัตตีมาร นั่งช้างคีรีเมขล์ พร้อมไพร่พลเสนากองทัพมาร และธิดาทั้งสาม ได้แก่ ตัณหา ราคา และอรดี ได้ออกมาขัดขวางการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ได้ออกมาขัดขวางเจ้าชายผู้มุ่งสู่การเป็นพระพุทธเจ้า แต่ไม่สำเร็จพ่ายแพ้กลับไป
พญามาร ชื่อ ท้าววสวัตตีมาร ยืนออกหน้า และอีกหนึ่งร่างนั่งช้างคีรีเมขล์ พร้อมไพร่พลทัพมาร และมีพญานาคคดเคี้ยวไปมาที่เปรียบเสมือนสายน้ำแห่งบุญบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ไหล มาจากพระแม่ธรณีที่บีบมวยผม จนกองทัพมารพ่ายแพ้
ปลาคาบพญาครุฑรองรับต้นเทียน ด้านข้างเป็นพระแม่ธรณีบีบมวยผมเป็นสายน้ำ ซึ่งเป็นต้นเทียนเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ความสูงฐานถึงยอด 3 เมตร 40 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร
องค์สมเด็จพระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับบนรัตนบัลลังก์ มีธิดาพญามารแสดงท่ายั่วยวนบนวงแห่งวัฏสงสาร
.
คณะช่างทำเทียนวัดศรีประดู่ยึดมั่นในเจตนารมณ์ที่จะ สืบสานงานศิลปะพื้นถิ่นของอุบลราชธานี ผ่านต้นเทียนประจำปี พ.ศ. 2568 โดยให้ความสำคัญกับการส่งต่อภูมิปัญญาทางศิลป์จากรุ่นสู่รุ่น ควบคู่กับการสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าถึงวัฒนธรรมในรูปแบบที่ร่วมสมัย ลวดลายที่ประดับติดบนต้นเทียนประกอบด้วยลวดลายไทย เช่น ลายกนกก้านขดหัวหงส์ ลายประจำยาม ลายรักร้อย ลายเกลียวใบเทศ ลายดอกกาละกับ และลวดลายอื่นๆ อีกมากมาย
ในปีนี้ เราได้เลือกใช้ “ลายดอกกาละกับ” ลวดลายดอกไม้โบราณที่มีรากเหง้าในศิลปะสกุลช่างล้านช้าง ซึ่งพบมากในงานไม้แกะสลักของวัดสำคัญในเมืองอุบล ลวดลายนี้มีจุดเด่นที่ “โครงสร้างของต้นไม้เป็นรูปหางไหลคล้ายตัว S เป็นแกนกลาง” มีการเลื้อยโค้งรับส่ง ปลายกิ่งออกช่อเป็น ดอกกาละกับ อ่อนช้อยงดงาม
ลายนี้มีความซับซ้อนในความสมดุล เช่น ด้านขวามือของหน้าบันหอไตรวัดทุ่งศรีเมือง มีการซ้อนขัดกันของกิ่งก้านแบบพลิ้วไหว ต่างจากด้านซ้ายที่เรียบง่าย สะท้อน “ความสมดุลแห่งศิลป์และชีวิต”
ดอกกาละกับ ยังปรากฏในงานสถาปัตยกรรมศักดิ์สิทธิ์ เช่น หอพระบาท บานประตูพระอุโบสถวัดมณีวนาราม วัดสุปัฏนารามวรวิหาร รวมถึงวัดศรีอุบลรัตนาราม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ดอกกาละกับมิใช่เพียงลวดลาย แต่คือสัญลักษณ์แห่งรากวัฒนธรรมล้านช้าง ที่ฝังแน่นในใจของช่างศิลป์อีสาน
เราจึงนำ ดอกกาละกับ มาประยุกต์กับเรื่องราวพุทธประวัติตอน "มารผจญ" บนลำต้นเทียน ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และองค์ประกอบศิลป์
นอกจากนี้ เรายังได้นำแรงบันดาลใจจาก “ธรรมาสน์สิงห์บ้านชีทวน” ซึ่งตั้งอยู่ในศาลาการเปรียญวัดศรีนวลแสงสว่างอารมณ์ — ผลงานประติมากรรมอิฐถือปูนที่มีสิงห์ยืนเทินบุษบกประดับกระจกสี สร้างขึ้นโดย ช่างญวนผสมช่างพื้นถิ่นระหว่าง พ.ศ. 2468–2470 เป็นรูปแบบศิลปะผสมผสานพุทธมหายาน ไตรภูมิ และชาดก จนกลายเป็นผลงานศิลป์ท้องถิ่นที่มีหนึ่งเดียวในโลก
เราจึงได้นำโครงสร้างและจิตวิญญาณของธรรมาสน์นี้ มาประยุกต์ใช้ในช่วงท้ายของรถต้นเทียน เพื่อสะท้อนความหลอมรวมของศิลปะ วัฒนธรรม และศรัทธาที่ฝังรากลึกในอีสาน
ในขณะเดียวกัน คณะช่างยังได้นำเสนอความร่วมสมัย ผ่าน ท่วงท่าของธิดามารทั้งสาม ที่ถูกออกแบบให้มีลีลานำสมัย แปลกตา แต่ยังคงไว้ซึ่งความอ่อนช้อยสอดคล้องกับเนื้อหาโดยรวมของต้นเทียน โดยใช้เทคนิคติดพิมพ์ลายโบราณเพื่อสร้างความลุ่มลึกและทรงคุณค่าทางสายตา
การผสมผสานระหว่าง ศิลปะดั้งเดิมกับความร่วมสมัยนี้ ไม่เพียงเป็นการแสดงออกถึงความเคารพในรากเหง้าเท่านั้น หากยังเป็นความหวังที่เราคณะช่างมีร่วมกันว่า “จะเป็นสะพานเชื่อมให้คนรุ่นใหม่ได้ใกล้ชิดและภาคภูมิใจในศิลปะวัฒนธรรมของตนเอง”